News
เหตุการณ์โรคในต่างประเทศ
โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ “KP.3.1.1” ระบาดเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐ
06/08/2567 เหตุการณ์โรคในต่างประเทศ
การแพร่ระบาดและการกลายเป็นสายพันธุ์หลัก
โควิด-19 สายพันธุ์ KP.3.1.1 ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐฯ โดยคิดเป็น 27.8% ของการติดเชื้อที่ตรวจพบ ตามการคาดการณ์ล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) สายพันธุ์นี้ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ KP.3 ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญอย่างรวดเร็ว แซงหน้าสายพันธุ์อื่นๆ เช่น LB.1(16%) ซึ่งครองอันดับสามรองจาก KP.3 (20.1%) ในประเทศไทยสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมพบโอมิครอน KP.3 จำนวน 8 ราย และ LB.1 จำนวน 2 ราย ยังไม่พบ KP.3.1.1
การกลายพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจง
โอมิครอน KP.3.1.1 มีการกลายพันธุ์ที่สำคัญหลายประการซึ่งส่งผลให้มีความสามารถในการแพร่เชื้อและหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการกลายพันธุ์ Q493E ซึ่งพบในสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่างโอมิครอน KP.3 ด้วย นอกจากนี้ โอมิครอน KP.3.1.1 ยังมีการขาดหายของ S31 ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการหลบเลี่ยงการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและเพิ่มความสามารถในการติดเชื้อ การกลายพันธุ์เหล่านี้เกิดขึ้นใกล้กับบริเวณจับกับตัวรับ (RBM) ของโปรตีนส่วนหนามไวรัส ส่งผลต่อความสามารถของไวรัสในการจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลลืได้ดีขึ้นและหลบเลี่ยงแอนติบอดีที่ทำหน้าที่ยับยั้งเชื้อ
**Q493E เป็นการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในโปรตีนหนามของไวรัส SARS-CoV-2 โดย:
- Q คือกรดอะมิโนกลูตามีน (Glutamine)
- E คือกรดอะมิโนกลูตามิก (Glutamic acid)
- 493 คือตำแหน่งของกรดอะมิโนในลำดับสายโปรตีนที่กลายพันธุ์ (Q->E)
S31- หมายถึงการขาดหายไปของกรดอะมิโนในตำแหน่งที่ 31 ของโปรตีนหนาม โดย:
- S คือกรดอะมิโนเซรีน (Serine)
- 31 คือตำแหน่งของกรดอะมิโนในลำดับโปรตีนที่ขาดหายไป
- เครื่องหมาย - แสดงถึงการขาดหายไปของกรดอะมิโน
การหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันและโอกาสในการติดเชื้อซ้ำ
สายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันสูงมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันของประชากรต่อสู้กับมันได้ยาก อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ KP.3.1.1 ในปัจจุบันไม่ได้แสดงระดับการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเท่ากับสายพันธุ์ดั้งเดิม เมื่อเทียบกับภูมิคุ้มกันของประชากรในปัจจุบัน หลังจากที่เราติดเชื้อโควิด-19 หรือได้รับวัคซีน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ โดยในช่วง 6 เดือนแรก ภูมิคุ้มกันของเราจะแข็งแรงมาก สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึงมากกว่า 90% หมายความว่าโอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำในช่วงนี้มีน้อยกว่า 10%
อย่างไรก็ตาม หลังจาก 6 เดือนไปแล้ว ภูมิคุ้มกันจะค่อยๆ ลดลงตามเวลา แต่โดยเฉลี่ยแล้ว เรายังคงมีภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันได้ต่อเนื่องไปจนถึงประมาณ 18 เดือน ซึ่งนี่คือระยะเวลาโดยเฉลี่ยระหว่างการติดเชื้อแต่ละครั้ง
ความเป็นไปได้ในการติดเชื้อซ้ำ
หากบุคคลเคยติดโอมิครอน KP.3 มาก่อน ในทางเทคนิคแล้วเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อสายพันธุ์ KP.3.1.1 ซ้ำ แม้ว่าอาจมีการป้องกันในระยะสั้นบ้าง แต่ความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของสายพันธุ์ KP.3.1.1 สูงหมายความว่าการติดเชื้อซ้ำสามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภูมิคุ้มกันลดลงตามเวลา
การหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของตระกูล KP
โอมิครอนสายตระกูล KP รวมถึง KP.3 และ KP.3.1.1 ถือเป็นสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันสูงที่สุดตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 มา นี่หมายความว่าบุคคลอาจติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ได้ในเวลาไม่นานหลังจากหายจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดิม แม้ว่าการป้องกันบางส่วนอาจคงอยู่ประมาณ 6 สัปดาห์ แต่ความสามารถในการแพร่เชื้อสูงและการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของสายพันธุ์เหล่านี้บ่งชี้ว่าควรระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง
ประสิทธิภาพของวัคซีน
วัคซีนปัจจุบันที่มุ่งเป้าไปที่สายพันธุ์ XBB.1.5 ของ COVID-19 ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงในกลุ่มเสี่ยงสูง แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์ล่าสุด รวมถึง KP.3.1.1 วัคซีนที่จะออกมาในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งมุ่งเป้าไปที่โอมิครอนสายพันธุ์ KP.2 และ JN.1 คาดว่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อ KP.3.1.1 เนื่องจากมีสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกัน
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าโอมิครอนสายพันธุ์ KP.3.1.1 จะไม่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้เท่ากับสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมเมื่อเทียบกับภูมิคุ้มกันของประชากรในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อซ้ำและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว เราจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการฉีดวัคซีนและแนวทางด้านสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากโอมิครอนสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการแพร่เชื้อสูงเหล่านี้
แหล่งที่มา : https://www.pptvhd36.com/health/news/5684